My Photo ^_^

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

4 อาหารลดอาการตาแห้ง



คุณเคยรู้สึกตาแห้ง ตาพร่ามัว หรือฝืดเคืองตา ต้องกระพริบตาถี่ๆ คล้ายมีเศษผงเข้าตา จนทำให้มองภาพไม่ชัด หรือบางครั้ง มีขี้ตาออกมาเป็นเมือกเหนียวกันบ้างไหมคะ ถ้ามีแสดงว่าคุณกำลังมีอาการตาแห้งแล้วล่ะ
สำรวจสาเหตุของอาการตาแห้ง
ตาแห้ง เป็นอาการที่มีความผิดปกติของน้ำตา โดยปกติดวงตาของคนเรา จะมีปริมาณน้ำตาเพียงพอที่จะมาหล่อเลี้ยง หรือให้ความชุ่มชื้นกับดวงตา รวมถึงฉาบกระจกตา ทำให้การมองเห็นชัดเจน
ส่วนอาการตาแห้งเกิดจากการมีปริมาณน้ำตาน้อย หรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งน้ำตาที่ดีมีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ ไขมัน น้ำใส และเมือก หากส่วนประกอบ 1 ใน 3 ของน้ำตาขาดความสมดุลหรือไม่มีคุณภาพ จะทำให้ตาแห้งได้
อาการนี้เป็นได้ทุกเพศ แต่มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และจะพบมากขึ้นตามวัย โดยเฉพาะในผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน เป็นผลมาจากระดับฮอร์โมนที่ลดลง ทำให้สารคัดหลั่งต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งน้ำตาก็ลดปริมาณลงไปด้วย นอกจากนี้ อาการดังกล่าวยังเกิดได้จากอีกหลายสาเหตุ ดังนี้
ภาวะที่ทำให้เส้นประสาทรับความรู้สึกที่ตาลดลง เช่น การใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่มีคุณภาพ การผ่าตัดกระจกตาหรือเปลี่ยนกระจกตา การอักเสบของกระจกตาจากเชื้อเริม นอกจากนี้ ยังรวมถึงการเป็นอัมพฤกษ์ที่ใบหน้า
โรคที่ผิดปกติทางภาวะภูมิคุ้มกัน (Autoimmune) เช่น โรค Sjogren's Syndrome ซึ่งมีอาการตาแห้ง ร่วมกับข้ออักเสบและปากแห้ง โรคข้อบางชนิด หรือโรคเอดส์
โรคบางชนิด ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบกับเยื่อบุตา เช่น กลุ่มอาการแพ้ยา อย่างสตีเวนจอห์นสัน (Stevens-Johnson) ริดสีดวงตา และเบาหวาน
การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ ยาคุมกำเนิด ยานอนหลับ ยาลดความดันโลหิตบางชนิด
การทำงานของเปลือกตาบกพร่อง เช่น หลับตาไม่สนิท กะพริบตาน้อย เปลือกตาผิดรูป
สภาพแวดล้อม เช่น อยู่ในห้องปรับอากาศที่มีอากาศแห้ง หรือมีฝุ่นควัน ลม และแดดจ้า
อาชีพที่ต้องใช้สายตาจ้องเป็นเวลานาน เช่น พนักงานคอมพิวเตอร์ ช่างอ๊อกเหล็ก หรือยามที่เฝ้ากล้องวงจรปิด
แต่ก็อย่าเพิ่งกังวลใจกันไปค่ะ เพราะผู้ที่มีอาการตาแห้งส่วนใหญ่มักเป็นในระดับไม่รุนแรง แค่ก่อความรำคาญใจ แต่ไม่ทำให้ตาบอดได้
เทคนิคเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา
กระพริบตาถี่ๆ ในภาวะปกติคนเราจะกระพริบตานาทีละ 20 - 22 ครั้ง ทุกครั้งที่กระพริบตา เปลือกตาจะรีดน้ำตาให้มาฉาบผิวกระจกตา แต่ถ้าในขณะที่จ้อง หรือเพ่งตาค้างไว้นานกว่าปกติ เช่น เวลาที่เราอ่านหนังสือ ดูทีวีหรือจ้องคอมพิวเตอร์ จะทำให้เรากระพริบตาเพียง 8 - 10 ครั้ง น้ำตาก็จะระเหยออกไปมาก ทำให้ตาแห้งเพิ่มขึ้น จึงควรพักสายตาระยะสั้นๆ โดยการหลับตา หรือกระพริบตาอย่างช้าๆ หรือลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถประมาณ 2 - 3 นาที ในทุกครึ่งชั่วโมง
ประคบดวงตาด้วยน้ำเย็น แช่ผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 ผืนในน้ำเย็น หยิบขึ้นมา 1 ผืน บิดพอหมาดและพับทบเป็นผืนยาว วางปิดดวงตาไว้ทั้งสองข้างนานประมาณ 20 นาที หรือจนกว่าผ้าจะหายเย็น แล้วจึงใช้ผ้าอีกผืนหนึ่งประคบ สลับกันไปมา จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาของคุณได้เช่นกัน
กินอาหารลดอาการตาแห้ง
กล้วย กินกล้วยทุกวัน เพราะกล้วยมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งจะทำงานร่วมกับโซเดียมเพื่อรักษาภาวะสมดุลน้ำในร่างกาย และช่วยให้ดวงตาของคุณชุ่มชื้นอยู่เสมอ
ถั่วประเภทนัท (Nut) ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะวอลนัต ควรรับประทานวันละประมาณ 1 กำมือ เพราะถั่วประเภทนี้มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว หรือกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง ซึ่งสารอาหารเหล่านี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในน้ำตา
ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทูน่าหรือปลาแซลมอน เพราะมีกรดไขมันที่จำเป็นหรือโอเมก้า-3 ด้วย
น้ำมันปอ (Flexseed oil) หรือน้ำมันเมล็ดลินิน จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมกรดไขมันโอเมก้า-3 อย่างเพียงพอ โดยรับประทานวันละ 1 ช้อนโต๊ะ หรือผสมในซีเรียลแล้วรับประทานก็ได้
ปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม
หลีกเลี่ยงการทำงานในบริเวณที่มีแสงจ้าและลมแรง เพราะจะทำให้ตาแห้งเร็ว ควรใส่แว่นกันแดดช่วย โดยเลือกแว่นขนาดใหญ่ที่มีขอบด้านข้าง เพื่อช่วยลดการระเหยของน้ำตา
หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีอากาศแห้ง และเย็นจัด เช่น ห้องปรับอากาศ ตลอดจนหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝุ่นละอองและควันต่าง ๆ เช่น บุหรี่ ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายเคืองตา
อย่าเป่าลมร้อนจากเครื่องเป่าผมเข้าตาโดยตรง รวมทั้งปรับไม่ให้เครื่องปรับอากาศ หรือพัดลมเป่าโดนตาหรือใบหน้าโดยตรง
พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนไม่พออาจทำให้ตาแห้งและตาแดงช้ำ เนื่องจากเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงดวงตาบวม การพักผ่อนให้สมดุลจึงดีต่อดวงตาที่สุด

วิธีการนวดแผนโบราณ นวดแผนไทย นวดไทยและนวดเพื่อสุขภาพ


                                                               
► วิธีการนวดแผนโบราณ เราสามารถนวดบนร่างกาย โดยใช้วิธีการนวดต่าง ๆ ดังนี้  
  • การนวด  การใช้น้ำหนัก  กดลงบนส่วนต่าง ๆ  ของร่างกาย น้ำหนักที่กดจะทำให้ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น พังผืดคลาย การนวดไทยเน้นมักจะใช้น้ำหนักของร่างกายเป็นแรงกด
  • การบีบ เป็นการใช้น้ำหนัก กดลงบนส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ในลักษณะ 2 แรงกดเข้าหากัน
  • การคลึง  การใช้น้ำหนัก กดคลึง เป็นการกระจายน้ำหนักกดบนส่วนนั้น การคลึงให้ผลในการคลายใช้กับบริเวณที่ไวต่อการสัมผัส เช่น กระดูก ข้อต่อ
  • การถู  การใช้น้ำหนักถู เพื่อทำให้ผิวหนังเกิดการยืดขยายรูขุมขนเปิด วิธีนี้นิยมใช้กับยาหรือน้ำมันเพื่อให้ตัวยาซึมเข้าได้ดี
  • การกลิ้ง  การใช้น้ำหนักหมุนกลิ้ง ทำให้เกิดแรงกดต่อเนื่องไปตลอดอวัยวะ ทั้งยังเป็นการยืด กล้ามเนื้ออีกด้วย
  • การหมุน  การใช้น้ำหนักหมุนส่วนที่เคลื่อนไหวได้คือ ข้อต่อ เพื่อให้พังผืด เส้นเอ็นรอบ ๆ ข้อต่อ ยืดคลายการเคลื่อนไหวดีขึ้น
  • การบิด  จะมีลักษณะคล้ายกับการหมุน
  • การดัด  การใช้น้ำหนักยืด ดัดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นพังผืดให้ยืดกว่าการทำงานปกติ เพื่อให้เส้นหย่อนคลาย
  • การทุบ  การใช้น้ำหนักทุบ ตบ สับ ลงบนกล้ามเนื้อให้ทั่ว
  • การเขย่า  การใช้น้ำหนักเขย่ากล้ามเนื้อ เพื่อกระจายความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อให้ทั่ว
► "ลักษณะการนวดแผนโบราณ" แบ่งออกเป็น  3  ลักษณะ
  1. การนวดยืด ดัด ลักษณะการนวดแบบนี้คือ การยืด ดัดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น พังผืด ให้ยืดคลาย
  2. การนวดแบบจับเส้น ลักษณะการนวดคือ การใช้น้ำหนักกดลงตลอดลำเส้นไปตามอวัยวะต่าง ๆ การนวดชนิดนี้ค้องอาศัยความเชื่ยวชาญของผู้นวด ซึ่งได้ทำการนวดมานานและสังเกตถึงปฏิกิริยาของแรงกดที่แล่นไปตามอวัยวะต่าง ๆ
  3. การนวดแบบกดจุด ลักษณะการนวดคือ การใช้น้ำหนักกดลงไปบนจุดของร่างกาย การนวดนี้เกิดจากประสบการณ์และความเชื่อว่าอวัยวะของร่างกายมีแนวสะท้อนอยู่บนส่วนต่าง ๆ และเราสามารถกระตุ้นการทำงานของอวัยวะนั้นโดยการกระตุ้นจุดสะท้อนที่อยู่บนส่วนต่าง ๆ บนร่างกาย
 เทคนิคการนวดแผนโบราณ
1. นวดด้วยนิ้วหัวแม่มือ วิธีกดนวดแบบนี้ใช้ผิวหน้าของนิ้วหัวแม่มือส่วนบน ไม่ใช่ปลายนิ้วหรือปลายเล็บจิกลงไป
2. นวดด้วยฝ่ามือ เหมาะสำหรับการนวดบริเวณที่มีพื้นที่กว้าง น้ำหนักตัวที่ทิ้งลงไปที่ฝ่ามือจะช่วยทำให้การนวดด้วยวิธีนี้ได้ผลดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถนวดได้ 3 ลักษณะกล่าวคือ
        2.1 นวดด้วยท่าประสานมือ
        2.2 นวดด้วยท่าผีเสื้อบิน
        2.3 นวดโดยวางมือห่างจากกันเล็กน้อย
3. นวดด้วยนิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างพร้อมกัน วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นเส้นพลังต่าง ๆ โดยการเลื่อนนิ้วไปตามแนวเส้น เว้นช่องว่างระหว่างนิ้วทั้งสองข้างประมาณ 2-3 ซม.
4. กดนวดด้วยเท้า นิยมใช้วิธีการกดนวดบริเวณที่กว้างและมีส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างน่องขาหรือต้นขาที่ค่อนข้างแข็งแกร่งของผู้รับการนวด ในขณะที่การใช้ส้นเท้านวดจะเหมาะสำหรับการนวดในท่าที่ต้องการแรงกดมาก ๆ
5. กดนวดด้วยเข่า การกดนวดด้วยเข่ามักจะนิยมใช้ในท่าที่มือจำเป็นต้องไปจับอวัยวะส่วนอื่นอยู่ ซึ่งจะถ่ายเทน้ำหนักได้ดี นิยมใช้ในการนวดต้นขาส่วนล่างและสะโพก
6. ยืนกด การใช้ท่านี้จะต้องระวังการยืนให้ดี ควบคุมให้ได้ว่าจะทิ้งน้ำหนักตัวไปส่วนไหนจึงจะไม่เป็นอันตรายและเกิดประโยชน์กับผู้รับการนวดมากที่สุด มักนิยมยืนคร่อมต้นขาของผู้รับการนวด
7. กดนวดด้วยข้อศอก นิยมใช้ปลายข้อศอกแหลม ๆ กดลงไป มักกดบริเวณต้นขา สะโพกและไหล่ ที่มีกล้ามเนื้อค่อนข้างหนา มีไขมันสะสมมาก
8. กดนวดด้วยท่อนแขน ถ้าหากผู้รับการนวดรู้สึกเจ็บ ให้ใช้วิธีการนวดด้วยท่อนแขนแทน เพราะจะรู้สึกนุ่มนวลขึ้นมากเลยทีเดียว


บริหารลดพุง 10 ท่า

"ข้อแพลง ไม่ธรรมดา อาจแฝงโรคอื่น"


สารานุกรมทันโรค นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
          ข้อเพลงมักเกิดจากการได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เช่น เดินข้อพลิก ข้อบิด หรือสะดุด หกล้ม เป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง สามารถให้การดูแลรักษาด้วยตนเอง ซึ่งมักจะหายได้เองภายใน 3-4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ถ้าดูแล 2-3 วันแล้วไม่ทุเลา หรือมีอาการปวดรุนแรงหรือสงสัยเกิดจากสาเหตุอื่น ก็ควรรีบไปปรึกษาหมอที่อยู่ใกล้บ้าน
 ชื่อภาษาไทย : ข้อเพลง ข้อเคล็ด
 ชื่อภาษาอังกฤษ : Sprains, Strains
 สาเหตุ
          -  เกิดจากเส้นเอ็น และ/หรือ กล้ามเนื้อที่ยึดอยู่รอบ ๆ ข้อต่อกระดูกมีการฉีก เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ เช่น หกล้ม ข้อบิด ข้อพลิก ถูกกระแทก หรือยกของหนัก
 อาการ
            ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเจ็บที่ข้อหลังได้รับบาดเจ็บทันที โดยจะเจ็บมากเวลาเคลื่อนไหวข้อ
            ข้อจะมีลักษณะบวม และใช้นิ้วกดถูกเจ็บ อาจพบรอยเขียวคล้ำ หรือฟกช้ำ เนื่องจากหลอดเลือดฝอยแตกร่วมด้วย
           อาการจะรุนแรงมากน้อยขึ้นกับปริมาณของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่ฉีกขาด
           ข้อเพลงมักเกิดขึ้นเพียง 1 ข้อ ที่พบบ่อยได้แก่ ข้อเท้า (ทำให้เดินกะเผลก) นอกจากนี้ อาจเกิดที่ข้อเข่า ข้อไหล่ ข้อมือ หรือข้อนิ้ว

 การแยกโรค
                อาการปวดข้อ ข้อบวม ที่เกิดขึ้นฉับพลันอาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่สำคัญ ได้แก่
  ข้อกระดูกแตกร้าว
                มักเกิดหลังได้รับบาดเจ็บและมีอาการคล้ายข้อแพลง แต่มักมีอาการรุนแรงและหายช้ากว่าข้อแพลง ในกรณีที่คิดว่าเป็นข้อแพลง ถ้าให้การดูแล 2-3 วันแล้วไม่ทุเลา ก็อาจเกิดจากข้อกระดูกแตกร้าว
  เกาต์

              ผู้ป่วยจะมีอาการข้ออักเสบ (ข้อปวด บวม แดง ร้อน) ฉับพลัน ส่วนใหญ่เป็นที่ข้อหัวแม่เท้าเพียง 1 ข้อ บางรายอาจเป็นที่ข้อเท้าหรือข้ออื่น ๆ มักกำเริบหลังกินเลี้ยง ดื่มเหล้า หรือกินเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ผักยอดอ่อน หรือพืชหน่ออ่อนปริมาณมาก บางครั้งการบาดเจ็บที่ข้อ (เช่น เดินสะดุด หกล้ม) ก็อาจทำให้โรคเกาต์กำเริบได้ ซึ่งอาจทำให้คิดว่าเป็นเพียงข้อแพลง ผู้ป่วยโรคเกาต์บางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย
  ไข้รูมาติก
              มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จะมีอาการข้ออักเสบรุนแรง เกิดขึ้นฉับพลันที่ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ หรือข้อศอกเพียงข้อเดียว โดยไม่มีประวัติได้รับบาดเจ็บที่ข้อบางรายอาจมีประวัติเป็นไข้ เจ็บคอ หรือทอนซิลอักเสบมาก่อนปวดข้อ 1-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยมักมีไข้ร่วมด้วย
  ก้อนฝีที่ข้อ
             ระยะแรกที่เริ่มมีอาการบวมแดงร้อนและปวด อาจทำให้คิดว่าเป็นข้อแพลง ต่อมาฝีจะบวมเป่งเป็นก้อนชัดเจนขึ้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีใช้ร่วมด้วย

  การวินิจฉัย
 แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติได้รับบาดเจ็บที่ข้อ (เช่น ข้อพลิก เดินสะดุด หกล้ม) แล้วเกิดอาการข้อบวมและปวด เคลื่อนไหวข้อลำบาก (เช่น ข้อเท้าพลิก ทำให้เดินไม่ถนัด หรือเดินกะเผลก)

     - ในรายที่สงสัยข้อกระดูกแตกร้าวหรือหักแพทย์จะทำการเอกซเรย์

     - ในรายที่สงสัยเป็นข้ออักเสบจากสาเหตุอื่น อาจต้องทำการตรวจเลือด หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม

  การดูแลตนเอ
1.พักการใช้ข้อที่แพลง กล่าวคือ ให้ข้อนั้นอยู่นิ่ง ๆ ขยับเขยื้อนให้น้อยที่สุด 
       - ถ้าข้อเท้าแพลงก็พยายามหลีกเลี่ยงการเดินหรือยืนด้วยเท้าข้างที่บาดเจ็บ และยกให้สูง (เวลานอนก็ใช้หมอนรองให้สูง หรือเวลานั่งควรยกเท้าวางบนโต๊ะ หรือเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง อย่าห้อยเท้าลง
  - ถ้าข้อมือแพลง ควรยกข้อมือให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจ โดยใช้ผ้าคล้องคอ และอย่าใช้ข้อมือข้างนั้น

2.ในกรณีที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บในระยะ 48 ชั่วโมงแรก ให้ประคบด้วยน้ำแข็งหรือน้ำเย็น (ถ้าเป็นที่ข้อเท้า อาจใช้เท้าแช่ในน้ำเย็น) นาน 15-30 นาที วันละ 3-4 ครั้ง เพื่อลดอาการบวมและปวด
3.ถ้าปวดมาก ให้กินยาพาราเซตามอลบรรเทา
4.ในระยะหลังบาดเจ็บ 48 ชั่วโมงไปแล้วหรือเมื่อข้อบวมเต็มที่แล้ว ให้ประคบด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ นาน 15-30 นาที วันละ 3-4 ครั้ง เพื่อลดอาการอักเสบ อาจใช้ขี้ผึ้ง น้ำมันระกำ ยาหม่องหรือเจลทาแก้ข้ออักเสบ ทานวด
 5.ถ้าเป็นมากจนเคลื่อนไหวข้อนั้นไม่ได้เลย หรือสงสัยกระดูกแตกร้าว หรือเส้นเอ็น หรือกล้ามเนื้อขาด หรือดูแลตนเอง 2-3 วันแล้วไม่รู้สึกดีขึ้นให้รีบไปหาหมอ

  การรักษา
          นอกจากแนะนำให้ดูแลตนเองดังกล่าวแล้ว บางรายแพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) และอาจใช้ผ้าพันแผลชนิดยืด (elastic bandage) พันรอบข้อที่แพลงพอแน่น เพื่อลดการเคลื่อนไหวของข้อและลดบวม

       ในรายที่พบว่ามีข้อแพลงรุนแรง อาจต้องเข้าเฝือกหรือพบว่ามีการขาดของเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อ ก็อาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดซ่อมแซม

  ภาวะแทรกซ้อน

          มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ยกเว้นในรายที่ดูแลตนเองไม่ถูกต้อง (เช่น ไม่ค่อยได้พักข้อที่แพลง) อาจมีอาการบวมเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังได้ หรือทำให้ข้อเสื่อมเร็ว

 การดำเนินโรค

          เมื่อได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง อาการปวดจะทุเลาขึ้นภายใน 2-3 วัน และอาการปวดและบวมจะลดน้อยลงชัดเจนภายใน 1-2 สัปดาห์ และหายขาดภายใน 3-4 สัปดาห์
          ถ้าไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องหรือยังฝืนใช้งานข้อที่แพลงต่อไป ก็อาจเรื้อรังเป็นเวลา 2-3 เดือนขึ้นไป

  การป้องกัน

          1.หมั่นบริหารข้อต่าง ๆ ด้วยวิธียืดเหยียดข้อต่าง ๆ เป็นประจำ

       2.ป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ เช่น อย่าเดินบนพื้นผิวขรุขระ หรือในที่มืดสลัว หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง ควรสวมใส่รองเท้าที่กระชับพอเหมาะ

  ความชุก

          โรคนี้พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ปวดท้องเมนส์ กันดีกว่าแก้

                                    
ปวดท้องเมนส์ กันดีกว่าแก้ (Momypedia)
โดย: รัสมี ภู่
           เกิดเป็นหญิง..แท้จริงแสนลำบาก...อาจเป็น คำพังเพยโบร่ำโบราณแต่ยังไม่เชยตกยุคนะคะ เพราะคำคำนี้มักจะวาบขึ้นมาในความคิดเสมอ เวลาผู้หญิงเราต้องเผชิญภาวะเจ็บปวดทางร่างกาย ที่เห็นชัด ๆ ก็เวลาปวดท้องเมนส์นี่ละค่ะ
          แล้วลองคิดดู...เวลาสาว ๆ นั่งเอามือกุมท้อง ร้องโอดโอย หน้าตาซีดเซียว กินข้าวไม่ลง บางรายถึงขนาดไปโรงเรียนไม่ได้ ไปทำงานไม่ได้ จะน่าเห็นใจสักแค่ไหน...งานนี้ ต้องมาจัดการกับอาการเจ็บปวดจากภัยธรรมชาติ (ทางร่างกาย) แล้วล่ะ
          โดย คุณหมอเสาวคนธ์ อัจจิมากร สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ท่านช่วยไขข้อข้องใจให้ว่า สาเหตุของการปวดท้องเมนนี้มี 2 แบบ คือ
          -  แบบปฐมภูมิ เป็นการปวดที่ไม่มีสาเหตุ มักเกิดกับเด็กในวัยเริ่มมีประจำเดือน จนถึงวัยรุ่น
          -  แบบทุติยภูมิ เป็นการปวดที่มีสาเหตุ เช่น เยื่อบุมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ เป็นเนื้องอก ฯลฯ มักเกิดกับคนที่เลยวัยรุ่น หรือมีอายุเกิน 20 ปีไปแล้ว
            วิธีตั้งข้อสังเกตง่าย ๆ ของอาการ 2 แบบ นี้ก็คือ ถ้าอาการปวดหายไปพร้อมการหมดรอบเดือนคือการปวดแบบปฐมภูมิ แต่ถ้ารอบเดือนหมดแล้วยังมีอาการปวดต่อไปอีกระยะหนึ่ง จะเป็นแบบทุติยภูมิ และอย่านิ่งนอนใจ ควรพาตัวเองไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของโรคค่ะ 
             สำหรับการการปวดท้องเมนส์ของเด็กวัยแรกสาว และสาวรุ่นนั้น ส่วนใหญ่จึงมักเป็นการปวดแบบไม่มีสาเหตุ คือปวดเพราะมดลูกมีการบีบ หรือเกร็งตัวเพื่อช่วยในการหลั่งเลือดประจำเดือน รวมทั้งเวลามีรอบเดือนร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน prostaglandins ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการปวด
ดังนั้นคุณหมอจึงแนะนำว่า ถ้ารู้ว่าจะปวดท้องเวลามีรอบเดือน ก็ควรจะหาวิธีป้องกัน โดยก่อนมีรอบเดือนแต่ละครั้งควรทานยาที่มีฤทธิ์ต้าน prostaglandins เสียก่อน จะได้ไม่ต้องนั่งเจ็บปวด และทนทรมานจากภาวะธรรมชาติในตัวแทบทุกเดือน
            "เมื่อก่อนเราอาจจะใช้แก้ปวดธรรมดา เช่น พาราเซตตามอล แอสไพริน หรือถ้าปวดมาก ๆ ก็กินยาคลายกล้ามเนื้อ แต่เมื่อเราค้นพบว่ามีฮอร์โมน prostaglandins เป็นตัวก่อให้เกิดอาการปวดท้องเวลามีเมนส์ ซึ่งในบางคนใช้ยาแก้ปวดธรรมดา หรือยาคลายกล้ามเนื้ออาจไม่ได้ผล เขาจึงจำเป็นต้องใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้าน prostaglandins หรือในชื่อยาที่คนรู้จักคือ Ponstan ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านสารตัวนี้"
            คุณหมอยังบอกด้วยว่า การป้องกันโดยใช้วิธีทานยาป้องกันนี้ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ อาจแค่ระคายเคืองกระเพาะนิดหน่อย แต่ถ้าทานน้ำตามมาก ๆ หลังทานยาจะช่วยได้  แต่ถ้าไม่อยากให้ทานยา และมีอาการปวดไม่มาก การใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบที่หน้าท้อง ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็ช่วยได้เช่นกัน เลือกบำบัดกันได้ตามอัธยาศัยค่ะ แต่คุณหมอก็ยังทิ้งท้ายว่า การป้องกันด้วยการทานยาน่าจะดีกว่ารอให้ปวดก่อนแล้วค่อยแก้ไขทีหลัง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

คนอีสานป่วยมะเร็งตับ - ท่อน้ำดีมากสุดในโลก



                                                       

คนอีสานป่วยมะเร็งตับ,ท่อน้ำดีมากสุดในโลก (ไอเอ็นเอ็น)
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

           รมช.สาธารณสุข เผย คนอีสานป่วยมะเร็งตับและท่อน้ำดี มากสุดในโลก เหตุกินปลาดิบ เร่งบรรจุวาระแห่งชาติ ลดอัตราเสียชีวิต
           น.พ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในโอกาสตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลบ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ ว่าขณะนี้พบว่า คนอีสานป่วยเป็นมะเร็งตับและท่อน้ำดีมากที่สุดในโลก โดยสถิติผู้ป่วยของประเทศไทย อยู่ที่ 10 - 20 คนต่อประชากร 1 แสนคน แต่สถิติของภาคอีสาน อยู่ที่ 40 คนต่อประชากร 1 แสนคน และประชากรอีสาน ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป พบมากถึง 80 คนต่อประชากร 1 แสนคน ขณะที่สถิติของประชากรโลก อยู่ที่ 1 - 2 คนต่อ 1 แสนคนเท่านั้น โดยที่สาเหตุของการป่วยในประเทศมาจากการรับประทานปลาแบบสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อยปลา และปลาร้าที่หมักไม่นาน เป็นต้น
           ส่วนการแก้ไขปัญหา ขณะนี้ มหาวิทยาลัยขอนแก่นร่วมกับโรงพยาบาลศูนย์ฯ รณรงค์ป้องกันรักษามะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยจะมีการพัฒนาโรงพยาบาลหลักในภาคอีสาน 4 แห่ง ให้มีศักยภาพมากขึ้นในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะแรก ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดสูงกว่า อีกทั้งจะผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติ สำหรับคนอีสานโดยเฉพาะ และจะหารือกับ กระทรวงศึกษาธิการให้บรรจุหลักสูตรป้องกัน ในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา รวมทั้งอบรม อสม.ให้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รู้ทันเบาหวาน (ทำนองคันหู)

โรคอ้วนภัยร้ายที่มากับอาหารทำลายเด็กไทย

                                                         
                ปัจจุบันเด็กไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เด็กจะรับประทานอาหารมากเกินไป จนทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจนกลายเป็น “โรคอ้วน” ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดการดูแลที่ดีจากพ่อแม่ หรือความเข้าใจผิด...
คนส่วนใหญ่จะมองว่า เด็กอ้วน คือ เด็กที่มีสุขภาพดี และอนาคตเด็กอ้วนเหล่านี้จะมีปัญหาสุขภาพอันได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ โรคกลุ่ม อาการที่ดื้อต่อสารอินซูลิน นอนกรน หยุดหายใจขณะนอนหลับ นอกจากโรคทางกายแล้ว โรคอ้วนยังนำไปสู่โรคทางจิตใจด้วย เช่น ไม่ค่อยคบเพื่อน เกิดโรคซึมเศร้า และในรายที่รุนแรงมากอาจถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย กอง โภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการได้รับอาหารมากเกิน ไป ทำให้มีน้ำหนักมากไม่เหมาะสมกับส่วนสูง ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพ เป็นโรคเรื้อรังต่างๆในเด็ก และลดน้ำหนักได้ยากมากยิ่งขึ้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน โรคเรื้อรังดังกล่าวจะมีความรุนแรงมากขึ้นและเสียชีวิตได้ง่าย แนวทางแก้ไขเด็กที่มีภาวะโภชนาการเกิน (เริ่มอ้วน/อ้วน) ติดตามการชั่งน้ำหนักทุกเดือนและวัดส่วนสูงทุก 6 เดือน แนะนำการให้อาหารครบทุกกลุ่มได้แก่ เนื้อสัตว์/ไข่/นม ข้าว-แป้ง ผัก ผลไม้ และน้ำมัน ในปริมาณที่เหมาะสมและควรกินให้หลากหลาย ลดอาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่ อาหารประเภทข้าว-แป้ง ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ขนมปัง เผือก มัน เป็นต้น และอาหารไขมัน เช่น น้ำมัน กะทิ ควรหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยวิธีการทอด ผัด แกงกะทิหรือขนมใส่กะทิ งดกินจุกจิก เช่น ขนม น้ำหวาน น้ำอัดลม ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 20 นาที และเครื่องไหวร่างกายเป็นประจำ เช่น เล่นกีฬา วิ่งเล่น เดินขึ้น-ลงบันได
ที่มา : นายพิทักษ์ ชนะวงศากุล

มื้อนี้...ต้องอาหารต้านอนุมูลอิสระ

 รู้จักอนุมูลอิสระหรือยัง?
                อนุมูลอิสระ คือสารประกอบ เช่น อะตอม โมเลกุล ที่ทำปฏิกิริยาทางเคมีด้วยกระบวนการที่ต้องใช้ออกซิเจนในการทำปฏิกิริยา ผลของปฏิกิริยานี้ทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้น โดยเป็นตัวที่สามารถทำร้ายสุขภาพของคุณและลูกน้อยได้ค่ะ
เจ้าอนุมูลอิสระมาจากไหน?
• อนุมูลอิสระภายในร่างกาย ร่างกายเรามีอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในกระบวนการเผาผลาญอาหารค่ะ ซึ่งระบบภายในร่างกายจะสามารถขจัดอนุมูลอิสระออกไปได้ แต่ถ้าเราได้รับอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากเกินไป ก็จะทำให้เซลล์ในร่างกายถูกทำลายได้เช่นกันค่ะ
• อนุมูลอิสระภายนอกร่างกาย เกิดได้จากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว เช่น ควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ ควันบุหรี่ แสงแดด แสงจากรังสีเอกซเรย์ หรือแม้แต่อาหารที่เรากินเข้าไปค่ะ เช่น อาหารประเภทที่มีส่วนประกอบของไขมันสูงๆ และอาหารปิ้งย่างจนไหม้เกรียม เป็นต้น ซึ่งเจ้าอนุมูลอิสระเหล่านี้ก็จะสะสมอยู่ในร่างกายของคุณและเจ้าตัวเล็ก ถ้าระบบในร่างกายขจัดออกไปไม่หมด อนุมูลอิสระก็จะกลายเป็นสารพิษจะส่งผลให้เซลล์เสื่อม และเป็นสาเหตุให้เกิดการเหี่ยวย่น หย่อนคล้อยของผิวหนัง หรือร้ายแรงกระทั่งเซลล์เจริญเติบโตผิดปกติ จนพัฒนาไปเป็นโรคหลอดเลือดตีบ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง โอ้โห...น่ากลัวแบบนี้ กำจัดออกสถานเดียว
กินแล้วดี ไม่มีอนุมูลอิสระ
สารอาหารที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี คือ
วิตามินเอ อยู่ในผักผลไม้สีแดงและสีเหลือง เช่น มะละกอ มะเขือเทศ ฟักทอง พริกหวาน แครอต มะม่วงสุก เป็นต้น แต่ในผักใบเขียวก็มีวิตามินเอที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เช่นกันค่ะ เช่น คะน้า บล็อกโคลี ชะอม เป็นต้น
วิตามินซี พบมากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างส้ม มะนาว มะขามและสับปะรด แต่ในผลไม้ที่ไม่เปรี้ยวก็มีวิตามินซีนะคะ เช่น ฝรั่ง แอปเปิ้ล โดยเฉพาะบริเวณเปลือกจะมีวิตามินซีสูง
วิตามินอี จะอยู่ในกลุ่มของน้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน และยังมีในธัญพืชจำพวกเมล็ด เช่น ข้าวโอ๊ต โฮลวีต ข้าวซ้อมมือ ถั่วต่างๆ รวมทั้งในผลไม้ เช่น แคนตาลูป กล้วย เป็นต้น
           คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกอาหารต้านอนุมูลอิสระเป็นส่วนผสมของเมนูสำหรับเจ้าตัวเล็กและสมาชิกในครอบครัว เพื่อช่วยป้องกันและคงสภาพของเซลล์ในร่างกายให้สดใสอยู่เสมอ รวมทั้งยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่ให้เข้ามาทำร้ายครอบครัวเราได้
          เลือกกินอาหารต้านอนุมูลอิสระในทุกมื้ออาหาร ทั้งคุณและลูกก็จะมีร่างกายที่แข็งแรง และป้องกันอนุมูลอิสระที่จะเข้ามาทำร้ายร่างกายของเราและทุกคนในครอบครัว

รู้ไหม!! ฟังเพลงเร็วทำกินเยอะไม่รู้ตัว

สาว ๆ คงจะเคยได้ยินผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายมักจะแนะนำให้ฟังเพลงจังหวะเร็ว ๆ ขณะที่คุณออกกำลังกาย เพื่อทำให้คุณรู้สึกเอาจริงเอาจังและกระตือรือร้นมากขึ้น ซึ่งหากเปลี่ยนการออกกำลังกายมาเป็นการรับประทานอาหารแทน อารมณ์และความรู้สึกกระตือรือร้นก็เกิดขึ้นไม่ได้แตกต่างกัน แต่ผลลัพธ์คงไม่เป็นที่ถูกใจของสาว ๆ เป็นแน่

"จังหวะเพลงที่เร็วขึ้น จะทำให้คุณทานอาหารได้มากขึ้น" ดร.มินเทิล บอก และกล่าวว่า "เพราะเพลงจะช่วยเร่งอัตราการกินของคุณให้เร็วขึ้น ทำให้คุณขาดสติในการรับประทานอาหารได้ง่าย ๆ ลองนึกถึงบรรดาร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ทั้งหลายที่มักจะใช้เพลงเร็วเป็นเพลงประจำร้านดูสิ"

ในทางตรงกันข้าม หากคุณลองสังเกตร้านอาหารอย่างพวกภัตตาคาร ร้านเหล่านี้มักจะเปิดเพลงช้า ๆ คลอไปกับมื้ออาหารของคุณ เพราะจังหวะดนตรีช้า ๆ จะทำให้คุณรับประทานอาหารอย่างไม่รีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไปอย่างละเมียดละไม และเพลิดเพลินกับมื้ออาหารนั้น

"ถ้าคุณทานอาหารอย่างช้า ๆ และเพลิดเพลินกับทุกคำที่ทานเข้าไป สมองและกระเพาะของคุณจะมีเวลาเพียงพอที่รับรู้ถึงความรู้สึกอิ่มได้ทัน ก่อนที่คุณจะทานเพลินจนทานอาหารเกินความต้องการของร่างกาย" ดร.มินเทิลสรุปว่า  รู้อย่างนั้นแล้ว ก็อย่าลืมเปิดเพลงช้า ๆ ขณะนั่งทานอาหารเย็นล่ะ

 เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

"กินไข่วันละกี่ฟอง" ถึงจะดีต่อร่างกาย"

หลายคนมีคำถามว่า ต้องกินไข่วันละกี่ฟองถึงจะดีต่อร่างกาย? เพราะคนเราส่วนใหญ่นั้นมีการบริโภคไข่เป็นอาหารหลักของอาหารในแต่ละมื้ออยู่แล้ว หรือบางคนคิดอะไรไม่ออกก็มักจะต้องนึกถึงไข่ไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ๆ 

          ไม่ว่าจะเป็นเมนู ไข่เจียว ไข่ดาว หรือแม้แต่ไข่ต้ม ก็ตามทีค่ะ ฉะนั้นเชื่อว่า คงมีคนไม่ใช่น้อยที่สงสัยว่า คนเรานั้นควร กินไข่วันละกี่ฟอง ถึงจะดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย สำหรับคำถาม "กินไข่วันละกี่ฟอง" ถึงจะดีต่อร่างกาย? วันนี้เรามก็มีคำตอบมาตอบคำถามนี้ด้วยค่ะ นั้นเรามดูกันเลยค่ะว่าเราควรจะบริโภคหรือกินไข่วันละกี่ฟองดีน๊า... 
น่ารู้! "กินไข่วันละกี่ฟอง" ถึงจะดีต่อร่างกาย?
          การไม่ทานไข่อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ ไข่ฟองเล็ก ๆ หนึ่งฟองมีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณ โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์ จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีนซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่นเอง
          "ไข่เจียว" ถือเป็นยาบํารุงร่างกายได้เลยเพราะนอกจากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย
         ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบจะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน
         ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกายอาจส่งผลร้ายได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวันติดกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทําให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์




ขอขอบคุณข้อมูลจาก daradaily ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

วัยรุ่นกับเรื่องสิวๆ

          เด็กสาวๆ หรือช่วงที่กำลังเจริญเติบโตเป็นสาว ควรจะระวังเรื่องการกินเอาไว้ เพราะความอ้วนจะทำให้สิวขึ้นเต็มหน้าได้   การสำรวจในหมู่หนุ่มสาววัยรุ่นตอนปลายครั้งใหญ่ในนอร์เวย์พบว่า เด็กสาวที่อ้วนเกิน จะมีสิวขึ้นมากกว่าเพื่อนคนที่มีน้ำหนักตัวปกติกว่ากัน ถึง 2 เท่า  ในการสำรวจได้พบว่า เด็กสาวมีเพียง 1 ใน 10 เท่านั้น ที่อ้วนตุ๊ต๊ะ ขณะที่ในหมู่สาวที่น้ำหนักมาก จำนวน 19 คนในร้อย ยอมรับว่าเป็นสิวเต็มหน้า ส่วนในหมู่ผู้หญิงหนักปกติ ใน 100 คน จะมี 13 คนเท่านั้น
          ดร.นาเตนต์ ซิลเวอร์เบิร์ก ผู้อำนวยการแผนกโรคผิวหนังของวัยรุ่น ศูนย์แพทย์ที่นิวยอร์ก บอกให้ความว่า ปัญหาความดันโลหิต การดื้อต่ออินซูลิน และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนซึ่งมักจะมากับความอ้วน เป็นตัวทำให้เกิดสิว”.


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

8 สูตรสวยด้วยดอกไม้

                                                8 สูตรสวยด้วยดอกไม้ 
            ดอกไม้ในสวนหน้าบ้าน คนโบราณนิยมนำมาทำเป็นครีมบำรุงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทั้งปลอดภัยและประหยัด คุณเองก็ทำไว้ใช้ได้ค่ะ
                                                           คุณค่าของดอกไม้
          สรรพคุณของดอกไม้แต่ละชนิดและสูตรความงามง่ายๆ ที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยคุณแม่ยังสาวมีอะไรบ้าง รองศาสตราจารย์รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลดังนี้
           อัญชัญ : สมัยโบราณนิยมนำมาบดแล้วเขียนคิ้วให้เด็กแรกเกิด ทำให้คิ้วดกดำเรียงตัวสวย ดอกอัญชัญมีสารกลุ่มแอนโธไซยานินช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ บำรุงสายตา หากนำมาหมักผมจะช่วยกระตุ้นหนังศีรษะ ทำให้ผมดกดำ ป้องกันผมหงอกก่อนวัย
           กระดังงา : มีน้ำมันหอมอยู่มาก ใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง เป็นอโรมาเธอราพีช่วยให้อารมณ์สงบ และช่วยฟื้นฟูสภาพเส้นผม เพิ่มน้ำหนักให้เส้นผมได้
           ชบา : เป็นดอกไม้ประจำชาติของมาเลเซีย ประกอบด้วยสารกลุ่มแอนโธไซยานินต้านอนุมูลอิสระ และมิวซีเลซ (mucilage) สารเมือกที่ทำหน้าที่คล้ายกลีเซอรีนเพิ่มความชุ่มชื้นและเคลือบผมให้เงางาม ผมนุ่มดูมีน้ำหนัก
          ดอกกานพลู, มะลิ , กุหลาบมอญ และเกสรดอกบัว : นิยมนำมาทำน้ำมันหอมระเหยอยู่ ใช้เคลือบเส้นผมให้นุ่มสลวย ทาผิวป้องกันผิวแห้งได้เป็นอย่างดี



ข้อควรระวัง
        -  ขณะเด็ด ฉีก หรือบดดอกไม้ ควรระวังอย่าให้น้ำมันหอมระเหยในกลีบดอกและเกสร สัมผัสผิวหน้า เพราะจะทำให้ระคายเคืองเล็กน้อย
       - กลีบดอกชบา ดอกมะลิบอบบางช้ำง่าย และมีเชื้อโรคง่าย ควรเก็บดอกสดๆ นำมาผสมเป็นครีมจะดีกว่า และควรใช้ทันทีไม่แนะนำให้เก็บ เพราะอาจติดเชื้อแบคทีเรียทำให้เหม็นบูด
       -  วิธีทดสอบน้ำมันหอมระเหยว่าบริสุทธิ์หรือไม่ ให้หยดลงไปในน้ำสะอาด ถ้าบริสุทธิ์น้ำมันจะกระจายตัวเร็ว ขุ่นไปทั่วภาชนะ ส่วนน้ำมันผสมจะกระจายตัวช้าเพราะผสมน้ำมันอื่นลงไป
       - ทดลองใช้น้ำมันหอมระเหยชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นเวลา 1 เดือน หากไม่ระคายเคือง คัน ปวด บวมแดง ร้อน แสดงว่าน้ำมันชนิดนี้เหมาะกับคุณ และห้ามแตะน้ำมันหอมระเหยที่ตารวมถึงบริเวณอื่นๆ ที่บอบบางโดยเด็ดขาด

                                         สูตรสวยด้วยดอกไม้
1. หมักผมด้วยดอกอัญชัญ
ส่วนผสม
 - ดอกอัญชัญ 8 ดอก         - น้ำสะอาด 1 ลิตร
วิธีทำ
         เด็ดกลีบดอกอัญชัญใส่เครื่องปั่น ปั่นพร้อมน้ำสะอาดจนละเอียดแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง น้ำที่ได้ควรมีสีน้ำเงินเข้ม (หากมีสีปนแดงแสดงว่าน้ำที่ใช้มีความเป็นกรดมาก จึงควรเลือกน้ำกลั่นสะอาดบรรจุขวดจะดีกว่า) นำส่วนผสมที่ได้มาหมักผมทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
 2. ดอกกระดังงาฟื้นสภาพผม
ส่วนผสม
          - ดอกกระดังงา (ใช้ได้ทั้งสดและแห้ง) 2 ดอก

          - น้ำมันงา / น้ำมันมะพร้าว 2 ถ้วย

วิธีทำ
               นำดอกกระดังงาลงทอดในน้ำมันร้อนนาน 5 นาที ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วช้อนดอกกระดังงาออก นำน้ำมันหอมระเหยที่ได้มาชโลมผม
 3. ครีมนวดผมดอกชบา
ส่วนผสม
  - ดอกชบาซ้อนสีอะไรก็ได้ 10 ดอก
  - ขมิ้น 2 แง่ง
  - น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ

  - ดอกกานพลูแห้ง 15 ดอก
  - เกลือป่นเล็กน้อย

วิธีทำ
              1. บดดอกชบา ละลายในน้ำอุ่น 3 ช้อนโต๊ะ กรองน้ำเก็บไว้
              2. ตำขมิ้นให้ละเอียด ผสมน้ำอุ่นเล็กน้อย กรองน้ำนำไปหยดลงในน้ำดอกชบาที่ได้
              3. เคี่ยวน้ำมันมะพร้าวกับดอกกานพลูแห้งจนมีกลิ่นหอมแล้วยกลง
              4. นำน้ำดอกชบา (ข้อ 2 ) เทลงในส่วนผสมข้อ 3 คนให้เข้ากัน แล้วเหยาะเกลือป่นลงไป จะได้ครีมนวดผม นวดทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก
              H&C TIP : หากนำดอกชบาสดมาตำให้ละเอียดแล้วเติมน้ำอุ่นเล็กน้อยจะได้น้ำเหนียวใส นำมาขัดรองเท้าและกระเป๋าหนังได้มันวาว

 4. โลชั่นอาบน้ำ
           ฉีกเกสรดอกบัวโรยบนน้ำ นำมาล้างหรืออาบน้ำ จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยให้รู้สึกสดชื่น
 5. โลชั่นบำรุงผิว สูตรไฮโปอัลเลอร์เจนิคสูตรนี้ยังได้กรดผลไม้ในผลมะกรูดช่วยผลัดเซลล์ผิวให้หน้าขาวใส
ส่วนผสม
      ดอกมะลิ / กระดังงา / กุหลาบมอญ ชนิดใดก็ได้ 8 ดอก
      มะกรูด 1/2 ผล
      น้ำเปล่า 1 ลิตร

วิธีทำ
          1. ทำน้ำดอกไม้โดยนำดอกไม้ 8 ดอกลอยในน้ำ 1 ลิตรแล้วปิดฝาอบไว้ 1 คืน จากนั้นนำน้ำดอกไม้ที่ได้ใส่ขวดไว้
          2. นึ่งมะกรูดให้พอเหลือง มีกลิ่นหอม
          3. นำมะกรูดที่ได้มาต้มกับน้ำดอกไม้ด้วยไฟปานกลาง 10 นาทีแล้วยกลงจากเตา ช้อนน้ำมันมะกรูดที่ลอยขึ้นมาบนผิวใส่ถ้วยไว้ (เทส่วนที่เป็นน้ำทิ้งไป) ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น จะได้โลชั่นขุ่นเล็กน้อย ควรใช้ทันที ไม่ควรเก็บและระวังแพ้น้ำมันมะกรูด ทดลองด้วยการทาท้องแขนทิ้งไว้ 30 นาทีหากไม่ระคายเคืองก็ใช้ได้

 6.ลบเลือนรอยแผลเป็น
              แผลเป็นหลังผ่าตัดหรือบาดแผลจากอุบัติเหตุทั่วไป หากนวดด้วยวิตามินอี หลีกเลี่ยงแสงแดดจะทำให้แผลเป็นมีขนาดเล็กลง ประกอบกับการนวดกระตุ้นด้วยน้ำมันหอมระเหยเอฟเวอลาสทิง และโรสแมรี่ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
ส่วนผสม  
           - เอฟเวอลาสทิง และโรสแมรี่ 2-3 หยด
          - น้ำมันอาร์นิกา 1 ช้อนโต๊ะ
            ผสมให้เข้ากันและใช้ทาวันละ 3 ครั้ง (กรณีหลังผ่าตัดควรปรึกษาแพทย์ว่าเหมาะสมกับน้ำมันชนิดนี้หรือไม่)
 7.โลชั่นขัดเล็บ
ส่วนผสม
       - น้ำมันเมล็ดทานตะวัน 2 ช้อนชา
วิธีทำ    ผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำมาขัดเล็บมือเล็บเท้า ทิ้งไว้ 3-5 นาทีแล้วเช็ดออกด้วยสำลี จากนั้นทาเบาๆ บนเล็บทิ้งไว้ให้แห้งอีกครั้ง จะช่วยให้เล็บแข็งแรงขึ้น
 8 สเปรย์น้ำดอกกุหลาบ
ส่วนผสม
  - น้ำกลั่น 1/2 ถ้วย
  - น้ำหอมระเหยเจอราเนียม 2 หยด
  - น้ำมันหอมกุหลาบ 4 หยด
  - ขวดสเปรย์แก้วเล็ก (10 ซี.ซี.) 1 ขวด

วิธีทำ      นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ขวดสเปรย์ เขย่าให้เข้ากัน จะได้สเปรย์น้ำกลิ่นกุหลาบที่หอมสดชื่่นสำหรับฉีดหน้าฉีดตัวคลายร้อน ควรเก็บไว้ในตู้เย็น
          เห็นไหมคะว่า คอกไม้ในสวนไม่ใช้แค่สวย แต่ยังมีประโยชน์มากมายกว่าที่คุณคิด